การจัดเก็บรายได้รัฐบาลในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567-มีนาคม 2568) อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง แม้ตัวเลขโดยรวมจะสูงกว่าเป้าหมายเล็กน้อยเพียง 1,807 ล้านบาท (คิดเป็น 0.2%) โดยจัดเก็บได้รวม 1,195,662 ล้านบาท แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่ามีความไม่สมดุลระหว่างหน่วยงานจัดเก็บภาษี ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายด้านเศรษฐกิจและผลกระทบจากนโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ส่งผลต่อการจัดเก็บภาษีในภาพรวม การติดตามอย่างใกล้ชิดและการปรับกลยุทธ์การจัดเก็บรายได้ในครึ่งปีหลังจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ
สถานการณ์การจัดเก็บรายได้ครึ่งปีแรก: ภาพรวมที่น่ากังวล
กระทรวงการคลังรายงานว่าในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิได้ 1,195,662 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณเพียง 1,807 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.2% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่าสูงกว่า 26,503 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.3% ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตที่จำกัดในภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การจัดเก็บรายได้เป็นไปตามเป้า มาจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศและการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ แสดงให้เห็นว่าการบริโภคภายในประเทศยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา
ความไม่สมดุลในการจัดเก็บระหว่างหน่วยงานภาษี
เมื่อพิจารณาแยกตามหน่วยงานจัดเก็บภาษี พบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ:
กรมสรรพากร: แสงสว่างในความมืด
กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้ได้ 966,200 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 36,212 ล้านบาท และที่สำคัญคือสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณถึง 10,157 ล้านบาท หรือ 1.1% สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดเก็บภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงการขยายฐานภาษีที่มีประสิทธิผล ความสำเร็จนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยพยุงการจัดเก็บรายได้ในภาพรวมให้เป็นไปตามเป้าหมาย
กรมสรรพสามิต: จุดอ่อนที่ชัดเจน
กรมสรรพสามิตกลับมีผลการจัดเก็บที่น่าเป็นห่วง โดยจัดเก็บได้ 264,971 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 4,160 ล้านบาท และที่น่ากังวลคือต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณถึง 21,321 ล้านบาท หรือ 7.4% สาเหตุสำคัญมาจากการจัดเก็บภาษีรถยนต์ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญอันเป็นผลโดยตรงจากมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งทำให้อัตราภาษีเฉลี่ยลดลง นโยบายดังกล่าวแม้จะเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ แต่ส่งผลกระทบต่อรายได้ภาษีในระยะสั้น
กรมศุลกากร: ความท้าทายจากการค้าระหว่างประเทศ
กรมศุลกากรจัดเก็บรายได้ได้ 57,365 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 2,109 ล้านบาท และต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 4,235 ล้านบาท หรือ 6.9% สะท้อนถึงความท้าทายด้านการค้าระหว่างประเทศและการส่งออกนำเข้าที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ รวมถึงผลกระทบจากข้อตกลงการค้าเสรีต่างๆ ที่ทำให้อัตราภาษีศุลกากรลดลง
ฐานะการคลังและการบริหารเงินงบประมาณ
ในด้านฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสดสำหรับช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2568 พบว่ารัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 1,189,432 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณสูงถึง 2,114,054 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงการขาดดุลการคลังอย่างมีนัยสำคัญ รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 628,753 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 มีเงินคงคลังคงเหลือ 215,366 ล้านบาท
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการรักษาวินัยการคลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการจัดเก็บรายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายอย่างเต็มที่ในขณะที่การใช้จ่ายงบประมาณยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้
ผลกระทบจากนโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า
นโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาล ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการจัดเก็บภาษีรถยนต์ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและเงินอุดหนุนเพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า แม้จะมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะยาว แต่ในระยะสั้นส่งผลให้อัตราภาษีเฉลี่ยลดลงและกระทบต่อรายได้ภาษีสรรพสามิตอย่างมีนัยสำคัญ
ภาวะเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศ
การเติบโตของภาษีมูลค่าเพิ่มจากการบริโภคภายในประเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนการจัดเก็บรายได้ในภาพรวม อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตยังไม่สูงมากนัก สะท้อนถึงกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มการจัดเก็บรายได้ในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ
การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ
การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วงครึ่งปีแรก แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของรัฐวิสาหกิจในการสนับสนุนฐานะการคลังของประเทศ อย่างไรก็ตาม การพึ่งพารายได้จากรัฐวิสาหกิจอาจไม่ยั่งยืนในระยะยาวหากไม่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
แนวทางการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหา
กระทรวงการคลังได้ย้ำว่าจะติดตามและบริหารการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิอย่างใกล้ชิดในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2568 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งอาจต้องดำเนินการดังต่อไปนี้:
1. การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี
กรมสรรพากรซึ่งสามารถจัดเก็บภาษีได้เกินเป้าหมาย ควรถ่ายทอดแนวปฏิบัติที่ดีให้กับหน่วยงานจัดเก็บภาษีอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บ การใช้เทคโนโลยีและฐานข้อมูลดิจิทัลในการตรวจสอบและติดตามการชำระภาษี รวมถึงการปรับปรุงระบบการให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เสียภาษี จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ในภาพรวม
2. การพิจารณาปรับปรุงมาตรการภาษี
รัฐบาลอาจต้องพิจารณาทบทวนและปรับปรุงมาตรการภาษีบางประการ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดกับการรักษาเสถียรภาพด้านรายได้ภาษี การปรับโครงสร้างภาษีให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมจะช่วยให้การจัดเก็บรายได้มีความยั่งยืนมากขึ้น
3. การบริหารรายจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
ในภาวะที่การจัดเก็บรายได้ยังคงมีความท้าทาย การบริหารรายจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการจัดเก็บรายได้ รัฐบาลอาจต้องพิจารณาทบทวนและจัดลำดับความสำคัญของรายจ่าย โดยมุ่งเน้นรายจ่ายที่จำเป็นและก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิผล
4. การส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ
การส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยเพิ่มการจัดเก็บรายได้ในระยะยาว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการเพิ่มการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการส่งออกและการท่องเที่ยว จะช่วยขยายฐานภาษีและเพิ่มรายได้ภาษีในภาพรวม
บทสรุป: ความท้าทายและโอกาสสำหรับครึ่งปีหลัง
แม้การจัดเก็บรายได้รัฐบาลในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2568 จะเป็นไปตามเป้าหมายโดยภาพรวม แต่มีความไม่สมดุลระหว่างหน่วยงานจัดเก็บภาษี และเป็นผลจากการที่กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บได้เกินเป้า ในขณะที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าอย่างมีนัยสำคัญ
สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความท้าทายในการบริหารนโยบายเศรษฐกิจและการคลัง โดยเฉพาะการสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ กับการรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ
การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและการปรับกลยุทธ์การจัดเก็บรายได้ในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการจัดเก็บรายได้ให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และการรักษาความเข้มแข็งของฐานะการคลังเพื่อรองรับความท้าทายทางเศรษฐกิจในอนาคต