แรงยกแผง..หุ้นกลุ่ม EA / สุนันท์ ศรีจันทรา

เศรษฐกิจ (ในประเทศ - ต่างประเทศ)

หลังจากหุ้นกลุ่มบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF พุ่งทะยานพักหนึ่ง หุ้นกลุ่มบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ได้รับช่วงต่อ โดยวิ่งขึ้นอย่างร้อนแรงและต่อเนื่องยกแผง สร้างจุดสูงสุดใหม่กันเป็นแถว

GULF เป็นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ บริษัทในกลุ่มประกอบด้วย บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC และบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM

ส่วน EA เป็นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เหมือนกัน บริษัทในกลุ่มประกอบด้วย บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX และลือกันในตลาดหุ้นว่า บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD ซึ่งเปลี่ยนชื่อจากบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AEC นายสมโภชน์ อาหุนัย ผู้ถือหุ้นใหญ่ EA เป็นหุ้นใหญ่ในทางอ้อม

ราคาหุ้น EA ลุ่มๆ ดอนๆ มาตั้งแต่ต้นปี โดยเคลื่อนไหวอยู่ระดับ 60-70 บาท และเพิ่งจะคึกคักเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน จากราคาปิดที่ 64.75 บาท วันที่ 8 พฤศจิกายน วิ่งยาวม้วนเดียว ขึ้นติดต่อจนถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน โดยปิดที่ 81 บาท ก่อนพักเหนื่อยเพียงวันเดียว และแกว่งตัวขึ้นต่อ จนสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่ 85.75 บาท ล่าสุดวันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคมปิดที่ 85 บาท

ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นทำให้มาร์เกตแคปหรือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ EA พุ่งขึ้นเป็น 317,050 ล้านบาท

ส่วน NEX ซึ่งบริษัท อีเอ โมบิลิตี โฮลดิ้ง จำกัด บริษัทลูกของ EA ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 40.01% ของทุนจดทะเบียน ราคาหุ้นพุ่งตาม EA มาติดๆ จากเมื่อต้นปีราคาเคลื่อนไหวแถว 4 บาท ล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายนปิดที่ 18.80 บาท

แม้จะถูกตลาดหลักทรัพย์ประกาศใช้มาตรการกำกับการซื้อขาย แต่ไม่อาจสยบความร้อนแรงของ NEX ได้ ราคายังวิ่งต่อ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

จุดเริ่มต้นการวิ่งรอบนี้ของ NEX เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน หรือในช่วงเวลาเดียวกับการพุ่งทะยานของ EA จากราคาเพียง 9.45 บาท ขึ้นมาเกือบ 100% แล้ว โดยได้แรงหนุนจากการส่งมอบรถอีวี และความคาดหมายว่า ปีหน้าผลประกอบการจะพลิกสู่ผลกำไร จุดชนวนการเก็งกำไรหุ้น

มาร์เกตแคปของ NEX เพิ่มขึ้นเกือบ 1 เท่าตัวภายในเวลาเดือนเศษ โดยขยับขึ้นเป็น 31,479.71 ล้านบาท

สำหรับ BYD น่าจะครองแชมป์ความเป็นหุ้นเล็กที่ราคาปรับตัวขึ้นร้อนแรงที่สุดในรอบ 14 เดือน จากราคาเพียงประมาณ 10 สตางค์ เมื่อเดือนกันยายนปี 2563 ล่าสุด วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมาปิดที่ 18 บาท

ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ หุ้น BYD หรือ AEC เดิมอยู่ในสภาพหุ้นตายซาก นักลงทุนเมิน ราคาเคลื่อนไหวอยู่แถว 9-10 สตางค์อยู่พักใหญ่

เดือนสิงหาคมปี 2563 BYD ประกาศเพิ่มทุน นำหุ้น จำนวน 3,060.62 ล้านหุ้น เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 0.4 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ หรือ 1 หุ้นเดิมต่อ 2.5 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 10 สตางค์ แต่ผู้ถือหุ้นรายย่อยเกือบทั้งหมดสละสิทธิการจองซื้อ และมีเพียงกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ 15 ราย ใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมด ทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นเปลี่ยนไป

ประมาณกลางเดือนกันยายน 2563 ราคาหุ้น BYD เริ่มพุ่งทะยาน ทั้งที่ผลประกอบการยังย่ำแย่ มีผลขาดทุนต่อเนื่อง โดยงวด 9 เดือนแรกปีนี้ยังขาดทุนหนักอยู่ แต่ราคาวิ่งขึ้นมาราธอน และปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 17,000% แล้ว นับจากเดือนกันยายนปีก่อน

แม้มีผลขาดทุนติดต่อหลายปี แต่มาร์เกตแคป BYD กลับเพิ่มขึ้นสวนทาง โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 25,851.12 ล้านบาท

ไม่ปรากฏชื่อของ EA หรือนายสมโภชน์ เข้าไปถือหุ้นใน BYD แต่คนในตลาดหุ้นถือว่า BYD เป็นหุ้นในกลุ่ม EA ของนายสมโภชน์ และไม่ว่าจะใช่หรือไม่ก็ตาม แต่หุ้นตัวเล็กตัวนี้ร้อนจัดจริงๆ ในรอบ 14 เดือนที่ผ่านมา

หุ้น EA หุ้น NEX และหุ้น BYD ในปีนี้ ใครเข้าไปจับไว้ และไม่ขายไปเสียก่อนรวยกันถ้วนหน้า

แต่ต่อจากนี้ไม่อาจทำนายได้ว่า หุ้นทั้ง 3 ตัวนี้ยังจะมีแรงวิ่งต่อไปอีกหรือไม่ เพราะราคาถือว่ามาไกลสุดกู่แล้วเหมือนกัน